ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดอาหารแมวในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากมูลค่าตลาดในปี 2567 ที่สูงถึง 20,258 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีในช่วง 5 ปีหลังสูงถึง 16% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในหมวด ขนมและอาหารเสริม (treats & mixers) ที่มีการเติบโตโดดเด่นถึง 13.1% การเติบโตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ทิศทาง แต่ได้รับแรงผลักจากหลายปัจจัย ทั้งเชิงพฤติกรรมผู้บริโภคและบริบททางสังคม เช่น คนรุ่นใหม่ในเมืองมีแนวโน้มเลี้ยงแมวมากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่ และการใช้ชีวิตแบบโซโล่ (Solo) หรือใช้ชีวิตตามลำพัง ครอบครัวที่มีขนาดเล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและแมวเปลี่ยนไปจากเดิมที่แมวเป็นเพียงแค่ “สัตว์เลี้ยง” มาเป็น “สมาชิกในครอบครัว” จึงทำให้เจ้าของยินดีจ่ายกับอาหารคุณภาพสูงมากขึ้น
ปี 2567 ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับเด็กในประเทศไทย มีมูลค่า 31,197.8 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 4.5 จากปีก่อน แบ่งเป็นอาหารแบบแห้ง มูลค่า 638.5 ล้านบาท อาหารสำเร็จรูป (Prepared baby food) มูลค่า 341.8 ล้านบาท และนมสูตร (Milk formula) มูลค่า 30,217.5 ล้านบาท โดยทุกผลิตภัณฑ์มีการเติบโตทางมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็กที่ดีต่อสุขภาพ และสะดวกต่อการรับประทานในยุคที่เร่งรีบ อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตทั้งหลายต่างต้องเผชิญกับความท้าทายของจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลในการรณรงค์ให้เด็กดื่มนมแม่ โดยเฉพาะผู้ผลิตนมสูตรที่จำเป็นต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าเพิ่มเทียบเท่านมแม่
ตลาดน้ำผลไม้ในประเทศไทยปี 2567 มีมูลค่า 21,890 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามความต้องการบริโภคเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพซึ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสการตื่นตัวด้านสุขภาพของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลต่อโครงสร้างตลาด น้ำผลไม้อย่างมีนัยสำคัญคือ คือ นโยบายภาษีน้ำตาล ซึ่งบังคับใช้กับเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยเฉพาะน้ำผลไม้และน้ำผสมน้ำผลไม้ (nectar) ที่มีน้ำตาลสูง มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนำไปสู่การปรับราคาขายที่สูงขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูงลดลงอย่างชัดเจน เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนและข้อกำหนดทางกฎหมาย ผู้ผลิตหลายรายจึงปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์ให้มีปริมาณน้ำตาลน้อยลง หรือพัฒนาเครื่องดื่มสูตรใหม่ที่ไม่มีการเติมน้ำตาล เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เช่น น้ำผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลเติมแต่ง นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังเน้นการพัฒนานวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการตลาด เพื่อสร้างความแตกต่างและขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ตลาดนมพร้อมดื่ม ปี 2567 มีมูลค่า 34,993 ล้านบาท โดยมี เมจิ โฟร์โมสต์ ไทย-เดนมาร์ค และตราหมี เป็นเจ้าตลาด
ตลาดน้ำผลไม้ ปี 2567 มีมูลค่า 21,890 ล้านบาท เติบโต 6.9% โดยมี minute maid , deedo , C-Vitt , ดอยคำ , ทิปโก้ , มาลี และยูนีฟ เป็นเจ้าตลาด
ภาพรวมตลาด (Market Overview) อินเดียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านตลาดเนื้อสัตว์สูงที่สุดในโลก แม้จะมีสัดส่วนประชากรมังสวิรัติมากกว่า 50% แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่า 1.4 พันล้านคน และกว่า 65% ระบุว่าเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์บางประเภท ทำให้ตลาดนี้มีขนาดใหญ่และกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ตลาดผลิตภัณฑ์นมจากพืชในอินโดนีเซียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากความตระหนักด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการทางเลือกสำหรับผู้ที่มีภาวะไม่สามารถย่อยแลคโตสได้ ในปี 2567 (2024) ยอดขายผลิตภัณฑ์นมจากพืชในอินโดนีเซียมีมูลค่าถึง 2.5 ล้านล้านรูเปียห์ (ประมาณ 5.5 แสนล้านบาท) และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 17% ในช่วงปี 2568–2572 (2025–2029)
1.ภาพรวมตลาด ตลาดซอสเผ็ดในสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขับเคลื่อนจากความนิยมในอาหารรสจัด ความหลากหลายของผู้บริโภค และกระแสวัฒนธรรมอาหารระดับโลก โดยเฉพาะจากละตินอเมริกาและเอเชีย รายงานของ MarkWide Research ระบุว่า มูลค่าตลาดซอสเผ็ดในสหรัฐฯ ในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ไปจนถึงปี 2032 • Gen Z และ Millennials เป็นกลุ่มผู้บริโภคหลัก โดยเฉพาะ Gen Z ที่มีแนวโน้ม “นำซอสเผ็ดติดตัว” ไปยังร้านอาหาร และเข้าร่วมชาเลนจ์ซอสเผ็ดบนโซเชียลมีเดีย • ความสนใจใน “swicy” หรืออาหารหวานผสมเผ็ด เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการค้นหาคำว่า “swicy” เพิ่มขึ้น 1,700% ระหว่างมีนาคม 2023–2024 • พฤติกรรมผู้บริโภคมีความหลากหลาย โดย 93% ของชาวอเมริกันกินซอสเผ็ด แต่ระดับความเผ็ดที่ทนได้แตกต่างกัน