มีนาคม 2562
ประธานบริหารโครงการปฏิรูปเกษตรกรรมยั่งยืนของเวียดนาม (VnSAT : The Vietnam Sustainable Agriculture Transformation project) เผยแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟและการสร้างความตระหนักต่อความสำคัญของการผลิตกาแฟแบบยั่งยืนให้แก่เกษตรกร โดยมุ่งเน้นการฝึกอบรม เทคนิคในการผลิตแก่เกษตรกร รวมทั้งการสร้างต้นแบบการเพาะปลูกและการผลิตแบบยั่งยืน พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนา สาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกรด้วย
สาระสำคัญของข่าว
ประธานบริหารโครงการปฏิรูปเกษตรกรรมยั่งยืนของเวียดนาม (VnSAT : The Vietnam Sustainable Agriculture Transformation project) เผยแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟและการสร้างความตระหนักต่อความสำคัญของการผลิตกาแฟแบบยั่งยืนให้แก่เกษตรกร โดยมุ่งเน้นการฝึกอบรม เทคนิคในการผลิตแก่เกษตรกร รวมทั้งการสร้างต้นแบบการเพาะปลูกและการผลิตแบบยั่งยืน พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนา สาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกรด้วย
ทั้งนี้ พื้นที่ราบสูงของจังหวัด LamDong ถือเป็นพื้นที่แรกที่การถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้โครงการ พัฒนาการผลิตกาแฟแบบเกษตรกรรมยั่งยืนของเวียดนามได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเกษตรกรจำนวน 10,000 รายสามารถพัฒนากระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งการพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำที่มี ประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน VnSAT ได้จัดหาทุนกว่า 33 พันล้านดงเวียดนาม หรือกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ
การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนนในพื้นที่ชนบท และคลังสินค้าในเขตต่างๆ โดยคณะกรรมการบริหาร VnSAT ยืนยันจะพลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยการผลิต และระบบการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพในอีกหลายพื้นที่ ซึ่งเฉพาะในการเพาะปลูกกาแฟแบบยั่งยืนในที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนามนั้น ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางถึง 22,000 เฮกตาร์ มากกว่าการคาดการณ์ของ VnSAT และสามารถสร้างผลกำไร เติบโตขึ้นสูงถึง 4.5%
อนึ่ง VnSAT เริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 ในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัดเขตพื้นที่ปาก แม่น้ำโขงและ 5 จังหวัดในที่ราบสูงทางตอนกลางของเวียดนาม โดยคาดว่าจะเพิ่มปริมาณสินค้าเกษตรและ มูลค่าการส่งออกมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย VnSAT ได้จัดหาเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยให้แก่ เกษตรกร 63,000 ราย บนพื้นที่ 69,000 เฮกตาร์ และคาดว่าจะทำให้เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 48-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี ตั้งแต่ปี2558-2563
ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) หรือ ระบบเกษตรกรรมทางเลือก (Alternative Agriculture) หรือ ระบบเกษตรกรรมถาวร (Permanent Agriculture หรือ Permacutlure)จะให้ความสำคัญกับสมดุลของระบบนิเวศ ผลผลิต คุณภาพที่ดี และเพียงพอต่อเกษตรกรและผู้บริโภค การพึ่งพาตนเอง รวมทั้งการให้ความสำคัญกับชุมชนท้องถิ่น หลักการสาคัญที่สุดที่มีร่วมกันของเกษตรกรรมทางเลือก-เกษตรกรรมยั่งยืน คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อการผลิตอาหารและปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากกว่าการผลิตเพื่อการส่งออก (เกษตรกรจึงไม่ต้องวิ่งไปตามกระแสของตลาด) มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ระบบการผลิต การบริโภค และการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นมีความสมดุล อาหารที่ผลิตได้เป็นอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง และเปิดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน ทำให้ระบบเกษตรกรรมเหล่านี้ดำเนินต่อเนื่องไปได้นานที่สุด โดยไม่มีผลกระทบด้านลบต่อระบบนิเวศวิทยา และไม่เกิดปัญหาทั้งด้านสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจดังนั้นการปรับนำระบบเกษตรดังกล่าวมาใช้ในประเทศถือเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความมั่นคงตั้งแต่เกษตรกรต้นน้ำ จนถึงเศรษฐกิจองค์รวมของประเทศต่อไปในอนาคต
ความคิดเห็น
สำหรับในประเทศไทย ขบวนการเกษตรกรรมทางเลือก-เกษตรกรรมยั่งยืนได้เกิดขึ้นมาเกือบ 3 ทศวรรษ โดยเริ่มต้นจากการรวมตัวกันของภาคประชาชนครั้งแรกเมื่อ ปลายทศวรรษ 2520 มีผู้เกี่ยวข้องทั้งนักพัฒนาจากองค์กร ภาคเอกชน นักวิชาการ นักวางแผน และข้าราชการที่ทำหน้าที่ ส่งเสริมการเกษตร ได้ให้คำจำกัดความและความหมายของ แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนไว้มากมาย ซึ่งคณะทำงานวิชาการสมัชชาเกษตรกรรมทางเลือกครั้งที่ 1 ปี 2535 ได้นำมาประมวลเป็นนิยามของเกษตรกรรมยั่งยืนไว้ว่า “วิถีเกษตรกรรมที่ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและดำรงรักษาไว้ซึ่งความสมดุลของระบบนิเวศ สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและพอเพียงตามความจำเป็นพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรและพึ่งพาตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเอื้ออำนวยให้เกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นสามารถพัฒนาได้อย่าง เป็นอิสระ ทั้งนี้เพื่อความผาสุกและความอยู่รอดของมวลมนุษย์ชาติโดยรวม”
ที่มา :