ชื่อผลิตภัณฑ์ :

Hybrid meat rice หรือ Beef rice ข้าวที่มีการเพาะเลี้ยงเซลล์จากเนื้อวัว

ผู้คิดค้นและพัฒนา :

มหาวิทยาลัย Yonsei ประเทศเกาหลีใต้ โดยได้รับการสนับสนุนจาก Bio & Medical Technology Development จากสถาบันวิจัยแห่งชาติ (NRF) ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ กองทุนพัฒนายาแห่งเกาหลี กระทรวงการค้าอุตสาหกรรมและพลังงาน กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ และมูลนิธิวิจัยแห่งชาติเกาหลี

แนวคิดผลิตภัณฑ์ :

ผู้พัฒนาตระหนักถึงการขาดแคลนอาหารในอนาคต และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม จึงได้คิดค้นนวัตกรรมนี้ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ความกังวลด้านสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้นของผู้บริโภค ความเสี่ยงจากโรคระบาด สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการขาดแคลนทรัพยากรอาหาร เป็นต้น เพื่อให้มนุษย์พ้นจากวิกฤตทางอาหารที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ลักษณะและจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ :

• เลือกใช้ข้าวเป็นพื้นฐานในการเพาะเลี้ยงเซลล์จากสัตว์เนื่องจากเมล็ดข้าวมีลักษณะเป็นรูพรุน และมีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ สามารถใช้เป็นรากฐานในการเพาะเซลล์จากสัตว์ตามซอกมุมของเมล็ดข้าวได้ นอกจากนี้ยังพบว่ามีโมเลกุลบางชนิดในเมล็ดข้าวที่ช่วยส่งเสริมให้เซลล์จากสัตว์เจริญเติบโตได้ดี
• การผลิต Hybrid meat rice หรือ Beef rice ทำได้โดยการนำเจลาตินจากปลามาเคลือบเมล็ดข้าว เพื่อให้เซลล์สามารถยึดติดกับเมล็ดข้าวได้ดี หลังจากนั้นนำกล้ามเนื้อและ สเต็มเซลล์จากวัวไปเพาะในเมล็ดข้าว แล้วเลี้ยงไว้ในจานเพาะเชื้อเป็นเวลา 9 – 11 วัน
• เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาหาร และมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดอาหารแพ้อาหาร
• เมื่อเทียบกับข้าวปกติ พบว่า Hybrid meat rice มีโปรตีนมากกว่า 8% มีไขมันมากกว่า 7% และเมื่อเทียบด้านเนื้อสัมผัส พบว่า มีความเหนียวนุ่มกว่า มีความหนาแน่นมากกว่า และ

• การผลิต Hybrid meat rice 100 กรัม มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 6.27 กิโลกรัม ในขณะที่การผลิตเนื้อวัวมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 49.89 กิโลกรัม
• การผลิตเชิงพาณิชย์ Hybrid meat rice มีราคา 2.23 เหรียญดอลลาสหรัฐต่อกิโลกรัม (ประมาณ 80.40 บาท) ส่วนเนื้อวัวมีราคาสูงถึง 14.88 เหรียญดอลลาสหรัฐต่อกิโลกรัม (ประมาณ 536 บาท)

ความเห็น :

จะเห็นได้ว่านวัตกรรมดังกล่าว ถือเป็นนวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน และเป็นอาหารเพื่ออนาคต ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความกังวลด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค นอกจากนี้นวัตกรรมดังกล่าวยังอาจกลายเป็นอาหารที่สามารถช่วยบรรเทาความอดอยาก การขาดแคลนอาหารในอนาคต ใช้เป็นอาหารฉุกเฉินในสมรภูมิรบ และอาหารที่ใช้ทานในอวกาศได้