พฤษภาคม 2563
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 สหราชอาณาจักรได้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ถือเป็นวันสิ้นสุดการเป็นสมาชิกนาน 47 ปี อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรยังคงต้องเจรจาความตกลงฉบับใหม่เพื่อกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่เรียกว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” หรือ “transition period” ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 ธันวาคม 2563 โดยที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อกำหนดกฎกติกาใหม่ระหว่างกันในมิติที่หลากหลายทั้งการค้า การลงทุน การประมง สิทธิพลเมือง ความร่วมมือด้านตำรวจและยุติธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กฎหมายสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ยังคงบังคับใช้กับสหราชอาณาจักร และประชาชนยังมีเสรีภาพในการเดินทางระหว่างกันจนถึงสิ้นปี 2563
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 สหราชอาณาจักรได้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป ถือเป็นวันสิ้นสุดการเป็นสมาชิกนาน 47 ปี อย่างไรก็ตาม สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรยังคงต้องเจรจาความตกลงฉบับใหม่เพื่อกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่เรียกว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” หรือ “transition period” ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 ธันวาคม 2563 โดยที่ทั้งสองฝ่ายจะเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อกำหนดกฎกติกาใหม่ระหว่างกันในมิติที่หลากหลายทั้งการค้า การลงทุน การประมง สิทธิพลเมือง ความร่วมมือด้านตำรวจและยุติธรรม เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กฎหมายสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ยังคงบังคับใช้กับสหราชอาณาจักร และประชาชนยังมีเสรีภาพในการเดินทางระหว่างกันจนถึงสิ้นปี 2563
สหภาพยุโรปยืนยันว่าจะยอมเปิดตลาดให้สหราชอาณาจักรแบบปลอดภาษีและปลอดโควตา (zero tariffs, zero quotas) ก็ต่อเมื่อสหราชอาณาจักรยอมรับกฎเกณฑ์เพื่อสร้างความเสมอภาคในการแข่งขันทางธุรกิจ (level playing field) และสิทธิของชาวประมงยุโรปในน่านน้ำของสหราชอาณาจักรเท่านั้น นอกจากประเด็นเรื่องการค้าแล้ว ยังมีอีก 2 ประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายยังหาทางออกร่วมกันไม่ได้ ได้แก่ เรื่องความร่วมมือทางอาญา และเรื่องโครงสร้างการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับสหราชอาณาจักร (governance)
หลักการสร้างความเสมอภาคในการแข่งขันทางธุรกิจ หรือ “level playing field” ฝ่ายสหภาพยุโรปตั้งเป็นกฎเหล็กว่า สหราชอาณาจักรจะต้องยอมรับที่จะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และมาตรฐานของสหภาพยุโรปต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน เช่น มาตรฐานด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาษี กฎระเบียบเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือของรัฐ และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
การประมง ตามกฎหมาย Common Fisheries Policy ของสหภาพยุโรป หมายถึง เรือประมงของทุกประเทศสมาชิกมีสิทธิเข้าไปทำประมงในน่านน้ำของสมาชิกประเทศอื่นได้อย่างเต็มที่ (ยกเว้นทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล) ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงมีชาวประมงของประเทศข้างเคียง เช่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี เข้าไปทำประมงในน่านน้ำของสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นแหล่งจับปลาสำคัญและได้ประโยชน์ ซึ่งฝ่ายสหราชอาณาจักรมองว่าไม่เป็นธรรม และต้องการใช้ Brexit เป็นโอกาสในการทวงคืน “อธิปไตย” เรื่องการประมงกลับมาจากสหภาพยุโรป โดยเสนอวิธีการจัดสรรโควตาจับปลาใหม่ เรียกว่า “zonal attachment” ที่โยงสิทธิในการจับปลากับปริมาณปลาที่มีอยู่ในน่านน้ำของแต่ละประเทศ ซึ่งจะทำให้โควตาการจับปลาของ สหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่โควตาการจับปลาของประเทศยุโรปอื่นจะน้อยลงอย่างมาก นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังต้องการเจรจาการจัดสรรโควตาเป็นรายปี ในขณะที่ฝ่ายสหภาพยุโรปพยายามคงโควตาปัจจุบันไว้และต้องการจัดทำความตกลงกำหนดโควตาอย่างถาวร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้กับอุตสาหกรรมประมงของตนภายหลัง Brexit
ความร่วมมือทางอาญา สหภาพยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีความร่วมมือทางอาญาระหว่างกันสูง ทั้งในระดับตำรวจและระดับศาล เช่น หมายจับ European Arrest Warrant และองค์การตำรวจของสหภาพยุโรป (Europol) การที่สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรจะมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันต่อไปในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมก็น่าจะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ดี สหภาพยุโรปตั้งเงื่อนไขว่า หากสหราชอาณาจักรจะต้องการเข้าถึงฐานข้อมูลของ Europol ต่อไป สหราชอาณาจักรก็จะต้องยอมรับเขตอำนาจของศาล European Court of Justice เช่นกัน ซึ่งสหราชอาณาจักรไม่ต้องการ และประสงค์ทวงคืน “อธิปไตย” ด้านงานยุติธรรม นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังแสดงท่าทีที่จะลดพันธกรณีของตนภายใต้ European Convention on Human Rights เพราะไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาล European Court of Human Rights (ซึ่งก่อตั้งโดย European Convention Human Rights และเป็นคนละศาลกับ European Court of Justice) ในหลายคดี เช่น เรื่องสิทธิการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของผู้ต้องขัง เรื่องอำนาจของตำรวจในการขอค้นตัว และสิทธิของผู้ต้องหาในคดีผู้ร้ายข้ามแดน เป็นต้น
โครงสร้างการบริหารจัดการความสัมพันธ์สหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร (governance) ฝ่ายสหภาพยุโรปยืนยันที่จะจัดทำความตกลงครอบคลุมรอบด้าน (comprehensive agreement) ฉบับเดียวซึ่งมีทั้งมิติเศรษฐกิจ ความมั่นคงและสังคม รวมทั้งให้มีข้อบททั่วไปเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทกรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดพันธกรณี อย่างไรก็ดี ฝ่ายสหราชอาณาจักรต้องการแยกการเจรจาแต่ละเรื่องออกจากกัน ไม่นำมาโยงกัน และแยกออกเป็นความตกลงหลายฉบับ ซึ่งเป็นสิ่งที่นาย Michel Barnier หัวหน้าคณะผู้แทนของสหภาพยุโรป ยังคงยืนยันว่าจะไม่ยอมให้ฝ่ายสหราชอาณาจักรเลือกเอาแต่สิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์หรือ cherry-picking โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 การเจรจา Brexit น่าจะเข้มข้นขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการเจรจาทุกสัปดาห์ และจะจัดให้มีการประชุมแบบได้เจอหน้ากันบ้าง หลังจากต้องประชุมวีดิโอคอลกันมาหลายเดือน
เดือนตุลาคม 2563 สหภาพยุโรปหวังว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลงและสามารถเสนอร่างความตกลงความสัมพันธ์สหภาพยุโรป - สหราชอาณาจักร ฉบับใหม่ ต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป (European Council Summit) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15 - 16 ตุลาคม 2563 ได้ หลังจากนั้น ร่างความตกลงก็จะต้องไปผ่านสภายุโรปเพื่อขอความเห็นชอบในการให้สัตยาบันให้ทันภายในสิ้นปี ในส่วนสหราชอาณาจักรก็จะต้องดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในเพื่อขอความเห็นชอบในการให้สัตยาบันความตกลงเช่นกัน ก่อนที่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
ในกรณีที่สหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ กันได้เลยก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ความสัมพันธ์ทางการค้าสหภาพยุโรป-สหราชอาณาจักร ก็จะเปลี่ยนจากระบบตลาดเดียว (single market) กลับไปสู่การทำการค้าภายใต้กฎเกณฑ์ WTO กล่าวคือ จากที่สินค้าสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างสองโซนได้โดยปลอดภาษี ปลอดโควตาและปลอดพิธีศุลกากร ก็จะกลายเป็นว่ามีกำแพงภาษีเกิดขึ้น สินค้าต้องผ่านพิธีการศุลกากรที่ด่านพรมแดน มีกระบวนการขอใบรับรองและใบอนุญาตเพื่อส่งออก-นำเข้า รวมทั้งอาจมีการใช้มาตรการอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอื่น ๆ ด้วย เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เป็นต้น
สถานการณ์ข้างต้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทวีปยุโรปก็ต้องเผชิญกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งประวัติการณ์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอยู่แล้ว และไม่ต้องการให้ Brexit มาซ้ำเติมแผลทางเศรษฐกิจอีก
สื่อหลายสำนักต่างรายงานว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรอาจจะเปลี่ยนใจไม่ตั้งด่านศุลกากรอย่างเต็มรูปแบบสำหรับสินค้าที่มาจากสหภาพยุโรปเพื่อเข้าสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงเปลี่ยนผ่านสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 อีกต่อไป โดยอ้างคำกล่าวของนาย Michael Gove เลขาธิการคณะรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่ยอมรับว่า ภาคธุรกิจอาจจะไม่สามารถปรับตัวกับกระบวนการใหม่ ๆ ได้ทัน ในขณะที่ยังต้องต่อสู้กับวิกฤตไวรัสโคโรนาอยู่
แม้จะไม่สามารถตกลงกันได้ทุกเรื่องก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 แต่ทั้งสองฝ่ายก็น่าจะพยายามเจรจาตกลงในบางประเด็นสำคัญให้ได้โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ซึ่งมองในแง่ดี วิกฤตโควิดก็ดูเหมือนจะเป็นตัวแปรพิเศษที่เข้ามาบังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น และยอมประนีประนอมท่าทีเพื่อหลีกเลี่ยง hard Brexit โดยต้องพยายามประคับประคองให้เครื่องบิน Brexit ลำนี้ลงจอดอย่างนุ่มนวลที่สุด
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ประเมินว่า ผลกระทบโดยตรงของ Brexit ต่อเศรษฐกิจไทยนั้นค่อนข้างจํากัด เนื่องจากสถานการณ์การค้าระหว่างอังกฤษและประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทย ยังคงเป็นไปตามกฎระเบียบเดิม โดยไม่มีการปรับอัตราภาษีใด ๆ แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากตลาด การเงินโลก โดยเฉพาะค่าเงินปอนด์และยูโรที่อาจมีการอ่อนค่าลงในปัจจุบัน แต่ที่น่าสนใจ คือ หลังจากนี้ ไทยจะมีโอกาสทํา FTA เพื่อเปิดตลาดสินค้ากับอังกฤษได้โดยตรง เพราะอังกฤษต้องการหาพันธมิตรทางการค้าใหม่เช่นกัน ซึ่งอาจจะง่ายกว่าการเจรจา FTA กับอียู 27 ประเทศ หากอังกฤษไม่อยู่ในระบบตลาดเดียวและสหภาพศุลกากรของอียูแล้ว อังกฤษอาจไม่ต้องทําตามกฎระเบียบการนําเข้า-ส่งออกของอียู เช่น โควตา และกฎระเบียบด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ ถือเป็นโอกาสให้ไทยส่งออกสินค้าไปอังกฤษได้เพิ่มขึ้น เช่น ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผักผลไม้ และอาหารสด/อาหารแห้ง จากแต่เดิมที่ถูกจํากัดด้วยโควตาการนําเข้าของอียู และอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวมเมื่อปี 2562 ประมาณ 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปสหราชอาณาจักร 3.8 พันล้านดอลลารณ์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.5 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญจากไทยไปสหราชอาณาจักร เช่น ไก่แปรรูป รถยนต์และอุปกรณ์ อัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า โดยที่มูลค่าการค้าระหว่างกันค่อนข้างน้อย ไทยจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบใดมากจาก Brexit นอกจากนี้ การค้าระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรไม่ว่าจะก่อนหรือหลัง Brexit ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันขององค์การการค้าโลก
ทั้งนี้ในประเด็นเรื่องโควตาภาษี ที่ผ่านมา ไทยได้รับโควตาส่งออกไปสหภาพยุโรปในอัตราภาษีต่ำรวม 31 รายการ ภายหลัง Brexit สหภาพยุโรปจะปรับลดโควตาลงเพราะอังกฤษก็จะมีโควตาของตนเองด้วย จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ไทยจึงอยู่ระหว่างเจรจาโควตาภาษีกับสหภาพยุโรปและอังกฤษใหม่สำหรับสินค้า เช่น มันสำปะหลัง แป้งมันสำปะหลัง ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวหัก ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ปลากระป๋อง ปีกไก่ เป็นต้น โดยเป้าหมายคือให้โควตารวม (ของสหภาพยุโรปกับอังกฤษ) ไม่ลดลงจากที่สหภาพยุโรปเคยจัดสรรให้ไทยก่อน Brexit นอกจากนี้ หน่วยงานของไทยและสหราชอาณาจักรก็กำลังจัดทำรายงานเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างกันในอนาคตต่อไป
แหล่งที่มา