ธุรกิจค้าปลีกอาหาร

สถานการณ์ปัจจุบัน

ธุรกิจค้าปลีกสินค้าอาหารของอินโดนีเซียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในแง่ของมูลค่าการตลาด   โดยในปี 2558 สามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายคิดเป็นมูลค่า 1,276.2 ล้านล้านรูเปียห์ หรือมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.1 ต่อปี ตลอดช่วงที่วิเคราะห์ (ปี 2554-2558) (รูปที่ 1) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ผลิตมากกว่าการขยายปริมาณการบริโภค เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้การใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าอาหารได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน   ขณะเดียวกันพบว่าธุรกิจค้าปลีกสินค้าอาหารในอินโดนีเซียมีทั้งที่ต้องปิดกิจการลงและที่เปิดสาขาใหม่ ส่งผลให้ภาพรวมของจำนวนสาขาธุรกิจในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยในปี 2558 มีจำนวนสาขารวม 4,622.3 พันแห่ง 

รูปที่ 1:     ธุรกิจค้าปลีกสินค้าอาหารในอินโดนีเซีย ปี 2554-2563 

จากภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอของอินโดนีเซียได้ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่ชะลอการขยายตัวของจำนวนสาขาลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนค่าเช่าที่สูงขึ้น เนื่องจากห้างค้าปลีกประเภทดังกล่าวมักตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีการปรับขึ้นค่าเช่าพื้นที่ตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่บางรายตัดสินใจระงับโครงการขยายห้างสาขาของตนและอาจจำเป็นต้องปิดธุรกิจบางสาขาที่ไม่ทำกำไร เพื่อรักษาสถานภาพทางธุรกิจของบริษัทไว้   ยกตัวอย่างกรณีบริษัท Trans Retail Indonesia ซึ่งเป็นเจ้าของรายใหม่ของห้างค้าปลีก Carrefour ได้ปรับลดเป้าการขยายห้างคอนเซ็ปใหม่ของบริษัท ภายใต้ชื่อ “Transmart” เหลือเพียง 4 แห่ง ในปี 2557   แต่หากเปรียบเทียบเฉพาะกลุ่มห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ในปี 2558 พบว่า ซูเปอร์มาร์เก็ต มีการเติบโตของผลประกอบการต่ำที่สุด ด้วยอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียที่ลดต่ำลง ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปซื้อสินค้าอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปแทนการซื้อสินค้าสน