2.1 ปปปปปปปป                   2.2 แแแแแแแแแแแแ       2.3 ไไไไไไไไไไไไไไไ

       2.2.1   วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (water footprint of a product)  ปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม (Chapagainet. et al., 2006)

       2.2.2  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของธุรกิจ (water footprint of a business)  ปริมาณน้ำที่ใช้ในการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม (Chapagainet และคณะ, 2006)

       2.2.3  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของประเทศ (water footprint of national consumption)  ปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการตามความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ (Chapagainet. และคณะ, 2006)

       2.2.4  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์สีเขียว (green Water Footprint)  ปริมาณน้ำฝนและน้ำที่อยู่ในรูปของความชื้นในดินที่ถูกดึงไปใช้ (Hoekstra และคณะ, 2011)

       2.2.5  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์สีน้ำเงิน (blue Water Footprint)  ปริมาณน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติรวมทั้งแหล่งน้ำผิวดินและแหล่งน้ำใต้ดิน อันได้แก่ น้ำบาดาล น้ำ    จากอ่างเก็บน้ำ แม่น้ำ น้ำจากชลประทานที่ถูกดึงไปใช้ (Hoekstra และคณะ, 2011)

       2.2.6  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์สีเทา (gray Water Footprint)  ปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้น มีการกำหนดเป็นปริมาณน้ำจืดที่จำเป็นต้องใช้ในการเจือจางสารมลพิษที่ปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำซึ่งขึ้นอยู่กับมาตรฐานคุณภาพน้ำโดยรอบ (Hoekstra และคณะ, 2011)

       2.2.7  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ช่วงต้นน้ำ (upstream water footprint)  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ในช่วงก่อนเข้าสู่วัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เป้าหมาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตหรือการได้มาซึ่งวัตถุดิบ ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตขององค์กรที่ทำการประเมิน        วอเตอร์ฟุตพริ้นท์

       2.2.8  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ช่วงปลายน้ำ (downstream water footprint)  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ที่เกิดขึ้นหลังจากกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์เป้าหมายซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากผลิตภัณฑ์ถูกจำหน่ายออกจากองค์กรที่ทำการประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์

       2.2.9  การประเมินวัฏจักรชีวิต (life cycle assessment)  เทคนิคการประเมินลักษณะปัญหาสิ่งแวดล้อม (Environmental Aspects) และโอกาสของการเกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Potential Environmental Impacts) ของผลิตภัณฑ์ โดยการเก็บรวบรวมและการประเมินค่าของสารขาเข้าและสารขาออกที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นั้นๆรวมถึงการแปลผลของการวิเคราะห์บัญชีรายการด้านสิ่งแวดล้อม (Inventory Analysis) และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Impact Assessment) (ISO 14040, Environmental management - Lifecycle assessment - Principles and framework, 2006.)

       2.2.10  การปันส่วน (allocation)  การแบ่งส่วนปริมาณสารขาเข้า และ/หรือสารขาออก ของกระบวนการหรือระบบของผลิตภัณฑ์ที่ศึกษาไปยังผลิตภัณฑ์เป้าหมายและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระบบของผลิตภัณฑ์ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.11  ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data)  ข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดกิจกรรมการผลิตในโรงงานหรือองค์กร หรือ กิจกรรมการผลิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือที่องค์กรมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูล (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.12  ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data)  ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลอื่นนอกเหนือข้อมูลปฐมภูมิ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.13  ผลิตภัณฑ์ร่วม (co-product)  ผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตเดียวกัน และมีมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.14  หน่วยการทำงาน (functional Unit)  หน่วยการทำงานของผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้ในการกำหนดขอบเขตการจัดเก็บข้อมูลสารขาเข้าและสารขาออกจากระบบผลิตภัณฑ์ อาจกำหนดแยกตามน้ำหนัก ปริมาตรหรือขนาดบรรจุ จำนวนย่อยพื้นที่ หรือตามรูปแบบที่วางจำหน่ายอื่นๆ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.15  ขอบเขตของระบบ (system boundary)  ขอบเขตของกระบวนการที่อยู่ภายใต้ระบบของผลิตภัณฑ์ที่จะทำการพิจารณา (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.16  ขอบเขตแบบ Cradle-to-Grave (business-to-consumer: B2C)  การประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการได้มาซึ่งวัตถุดิบการผลิต การขนส่งและกระจายสินค้า การใช้งาน และการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556)

       2.2.17  ขอบเขตแบบ Cradle-to-Gate (business-to-business: B2B) การประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ ตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต จนถึง ณ หน้าโรงงานพร้อมส่งออก หรือจนถึงที่เป็นสารขาเข้าหรือวัตถุดิบของผู้ผลิตรายต่อไป (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), 2556) 

      ปัจจุบันปัญหาทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องถิ่น เนื่องจากสาเหตุทางธรรมชาติและสาเหตุจากกิจกรรมโดยมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้ดิน การใช้น้ำ อากาศเสีย และการใช้ประโยชน์ป่าไม้ เนื่องจากการเติบโตของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความต้องการอุปโภคและบริโภคเพิ่มมากขึ้นรวมถึงสภาพสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการโดยเฉพาะทรัพยากรน้ำจืดซึ่งมีเพียงร้อยละ 3 ของน้ำจืดทั้งหมดบนโลก แบ่งออกเป็นน้ำแข็งขั้วโลกร้อยละ 79 และน้ำใต้ดินร้อยละ 29 เท่านั้น (Ghisi,N.de C., 2012) ด้วยเหตุนี้ จึงมีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ภาครัฐ หรือแม้แต่ภาคอุตสาหกรรม ที่พยายามแสดงให้เห็นถึงปัญหาผ่านบทความ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความตระหนักและใส่ใจทางด้านสิ่งแวดล้อม

ในปี 2002 กองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (International fund for agricultural development, 2002) ได้รายงานถึงปัญหาทางด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของทวีปต่างๆ ทั่วโลก เช่น ทวีปแอฟริกา และเอเชีย เป็นต้น โดยปัญหาทางด้านการเสื่อมโทรมของพื้นที่และแหล่งน้ำส่งผลให้มีพื้นที่แห้งแล้งมาก ขาดแคลนพื้นที่ในการเพาะปลูก รวมถึงการขาดแคลนแหล่งน้ำผิวดิน ทั้งนี้สาเหตุหลักเกิดจากการเติบโตของประชากร ในปีถัดมาสถาบันทรัพยากรโลกก็ได้ประเมินถึงกิจกรรมที่โลกควรต้องดำเนินการเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารของประชากรโลก เนื่องจากการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งอัตราการเติบโตของประชากรโลกมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคนในปี 2050 โดยหนึ่งในกิจกรรมดังกล่าวก็คือการลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่เกิดขึ้นจากการเกษตรกรรม ซึ่งการลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรประกอบด้วยผลกระทบ 3 ด้าน ได้แก่ ระบบนิเวศ ภูมิอากาศ และน้ำ ทั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ อันเป็นผลมาจากการพัฒนาทางเกษตรกรรมเมื่อ 8,000-10,000 ปีก่อน เพื่อการเพาะปลูกและการทำปศุสัตว์ ปัจจุบันพื้นที่ของโลกร้อยละ 37  ใช้เพื่อการผลิตอาหาร สำหรับผลทางด้านภูมิอากาศ ภาคการเกษตรกรรมมีส่วนในการก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นร้อยละ 24 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในปี ค.ศ.2013 ซึ่งหมายรวมถึงกิจกรรมจากการทำปศุสัตว์


และการใช้ประโยชน์ที่ดิน หากพิจารณาทางด้านทรัพยากรน้ำ ภาคเกษตรกรรมนับว่าเป็นภาส่วนสำคัญที่ใช้น้ำจืดมากถึงร้อยละ 70 และยังก่อให้เกิดการชะล้างธาตุอาหารจากการเขตกรรมก่อให้เกิดพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ (dead zone) และการกัดเซาะชายฝั่ง (The World Resources Institute, 2013)

นอกจากนี้ เวที World Water Forum ณ กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในปี ค.ศ. 2008 ก็ได้มีการรายงานถึงอัตราการเจริญเติบโตของประชากรโลกที่จะเพิ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2050 เช่นกัน ทำให้มีการประเมินว่าประชากรประมาณ 1 ใน 5 หรือราว 1.3 พันล้านคนจะขาดน้ำสะอาดสำหรับการบริโภค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากปัญหาการขาดแคลนน้ำดื่มปีละ 27 ล้านคน หรืออาจกล่าวได้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตในอัตรา 1 คนทุกๆ 8 วินาที ซึ่งผลการศึกษาตรงกับข้อมูลสหประชาชาติที่ว่าจะมีประชากรจำนวนมากไม่สามารถมีน้ำที่ถูกสุขลักษณะบริโภคได้อย่างพอเพียง (UNICEF and World Health Organization, 2012) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ water stress อันอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคการเกษตรกรรม ซึ่ง water stress เพิ่มขึ้นมาจากความต้องการใช้น้ำและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป 7 องค์กรระดับโลก เช่น WWF, UNESCO, IFC และ WBCSD จึงได้ร่วมกันจัดตั้งเครือข่ายของวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ เพื่อประเมินระดับร่องรอยการใช้น้ำ (water footprint) ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดปริมาณการใช้น้ำของสินค้าและบริการทั้งทางตรงและทางอ้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อต้องการลดปริมาณการใช้น้ำและสร้างความยั่งยืนในการดำรงชีวิตซึ่งส่งผลต่อระบบสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ประเทศเนเธอร์แลนด์นับเป็นประเทศแรกที่มีการตระหนักในการจัดการทรัพยากรน้ำและให้ความสำคัญกับการศึกษาวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ เนื่องจากประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด ประกอบกับทรัพยากรน้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมภาคการเกษตรและปศุสัตว์ อุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญของประเทศ นำมาซึ่งความตื่นตัวในการศึกษาและการพัฒนาดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนภายในประเทศ เช่นเดียวกันกับประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา ที่มีความตื่นตัวทางด้านการจัดการทรัพยากรน้ำที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากอัตราการเติบโตของประชากร เศรษฐกิจ และการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมอาหารที่มีการส่งออกและนำเข้าสินค้าและบริการจำนวนมาก และมีแนวโน้มการใช้น้ำในกระบวนการผลิตสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ จากข้อมูลการประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ระดับโลก (Hoekstra, A. Y. และ Chapagain, A. K., 2007) พบว่าค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยต่อปีของประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา อยู่ในลำดับต้นๆ ของโลก โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์อยู่ที่ 900 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และประเทศจีนมีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์อยู่ที่ 700 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี คิดเป็นร้อยละ 12 และร้อยละ 9 ของค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์โลก ตามลำดับ แสดงดังรูปที่ 2.1 และรูปที่ 2.2

 

หากพิจารณาค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยต่อจำนวนประชากร ประเทศไทยมีค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยเป็นลำดับที่ 3 อยู่ที่ 2,223 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี รองจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอิตาลีที่มีค่าเฉลี่ย 2,485 และ 2,332 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี ตามลำดับ โดยค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยของโลก มีค่าเท่ากับ 1,243 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี แสดงดังรูปที่ 2.3 จะเห็นได้ว่าค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยต่อจำนวนประชากรของประเทศไทยมีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยของโลกมากถึงร้อยละ 44 ซึ่งน้ำส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมเกษตร โดยเฉลี่ย 2,131 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี คิดเป็นอัตราส่วนมากกว่าร้อยละ 95 ของค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เฉลี่ยทั้งหมดของประเทศ (Hoekstra, A. Y. และ Chapagain, A. K., 2007) และจากข้อมูลสนับสนุนโดย Daniel(Daniel R. Dourte, 2012) ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันที่ว่าการใช้น้ำสำหรับภาคการเกษตรอยู่ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเป็นอันดับแรกๆของโลก เช่นเดียวกับแหล่งข้อมูลทางสถิติของ United Nations ที่ชี้ให้เห็นว่าการเพาะปลูกจำเป็นต้องใช้น้ำมาก โดยปัจจุบันร้อยละ 70 ของน้ำในแม่น้ำและชั้นอุ้มน้ำในโลกถูกนำไปใช้ในภาคการเกษตร และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2658 ความต้องการใช้น้ำในโลกจะสูงขึ้นร้อยละ 35-60 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2543 แต่ปริมาณน้ำที่ใช้สำหรับการเจริญเติบโตของพืชลดลงถึงร้อยละ 50 อันเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลก           เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศลิเบีย และประเทศอียิปต์ ที่มีการสูบน้ำจากชั้นหินไปใช้ในการทางการเกษตร     จนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำนั้นได้อีก ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศแนวหน้าสำหรับสินค้าทางการเกษตรเพื่อการส่งออก ดังนั้นการศึกษาเรื่องวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ในอุตสาหกรรมทางการเกษตรและอาหารของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญ อันจะนำมาซึ่งแนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนและยังเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลกอีกด้วย

 

 

แนวคิดของการประเมินผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำริเริ่มโดยศาสตราจารย์ นักวางแผนชุมชน แห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา คือ Mathis Wackernagel และ William Rees (Wackernagel, M. และ Rees, W., 1996; Wackernagel และคณะ, 1997) ในหนังสือเรื่อง Our Ecological Footprint : Reducing Human Impact on the Earth โดยได้ให้นิยามของคำว่า รอยเท้านิเวศน์ หรือ Ecological Footprint ซึ่งเป็นการประเมินความต้องการทางด้านระบบนิเวศน์ (เฮกตาร์) ต่อจำนวนประชากรโลกเพื่อรองรับความต้องการทางด้านอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน พลังงาน น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ประสิทธิ์ สัจจพงษ์, 2554) จนกระทั่งพัฒนามาเป็นคำว่ารอยเท้าคาร์บอน หรือ Carbon Footprint ในช่วงปี พ.ศ.2543 และพัฒนาต่อมาเป็นคำว่า รอยเท้าน้ำ หรือWater Footprint อันเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่มีการใช้น้ำและทำให้น้ำปนเปื้อนมลพิษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมจากภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคชุมชน ภาคครัวเรือน เป็นต้น (Hoekstra และคณะ, 2011) รอยเท้าน้ำ” ได้ถูกกล่าวขึ้นอีกครั้งประมาณปี พ.ศ.2545 โดยศาสตราจารย์ Arjen Hoekstra ประเทศเนเธอร์แลนด์ จากองค์การยูเนสโก-ไอเอชอี (UNESCO-IHE) โดยนิยามว่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์เป็นดัชนีชี้วัดปริมาณน้ำจืดที่มองครอบคลุมทั้งในส่วนการใช้น้ำโดยตรงและการใช้น้ำทางอ้อมของผู้บริโภคและหรือผู้ผลิต โดยคำนวณปริมาณการใช้น้ำตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตสินค้าหรือบริการทั้งปริมาณน้ำที่ใช้ไปและปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยออกมา พร้อมทั้งแสดงให้เห็นสถานที่และเวลาที่ดึงน้ำมาใช้ ทำให้วอเตอร์ฟุตพริ้นท์เป็นดัชนีชี้วัดที่ชัดเจน (Hoekstra และ Hung, 2002) ประเภทของวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ แบ่งได้เป็น 6 ชนิด คือ

1)      วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (water footprint of a product) หมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม

2)      วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของธุรกิจ (water footprint of a business) หมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ในการดำเนินงานของบริษัทธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม

3)      วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของประเทศ (water footprint of national consumption) หมายถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการตามความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ

4)      วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผู้บริโภค (water footprint of consumer) หมายถึง ปริมาณน้ำที่ผู้บริโภคบริโภคทั้งทางตรงและทางอ้อม

5)      วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของชุมชน (water footprint of community) หมายถึง ปริมาณน้ำที่สมาชิกในชุมชนบริโภคทั้งทางตรงและทางอ้อม

6)      วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ทางภูมิศาสตร์ (water footprint of geographically) หมายถึง ปริมาณน้ำในกระบวนการทั้งหมดในเขตพื้นที่ทั้งหมด (Hoekstra และคณะ, 2009)

จากการสรุปของ Humbert S. (2009) ได้กล่าวถึง ISO 14046 ภายใต้ชื่อ Water footprint: requirements and guidelines เป็นแนวทางการประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตามหลักการประเมินวัฏจักรชีวิตโดย ISO ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ.2009 โดยมีโครงการพัฒนาแนวทางการประเมินให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2012 ซึ่ง Standley, L., (2011) ผู้แทนจากสหรัฐอเมริกาหนึ่งในคณะกรรมการ ISO TC 207กล่าวว่า วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตามหลักการประเมินวัฏจักรชีวิตโดย ISO เกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการแหล่งน้ำจืดที่สะอาดซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาทุกด้านของมนุษย์เช่นเดียวกับระบบนิเวศที่ทั่วโลกมีการแข่งขันหาแหล่งทรัพยากรโดยต้องเพิ่มโอกาสและประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น แม้ในปัจจุบันจะมีการพัฒนาการจัดการทรัพยากรอย่างเข้มข้นขึ้นแต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังคงนำปัญหาความขาดแคลนน้ำมาเป็นอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเช่น ภาคธุรกิจที่ใช้สินค้าทางเกษตร เป็นผลให้เกิดความสนใจในการแข่งขันทางการค้าซึ่งต้องมีการวัดผลกระทบสะสมจากการใช้น้ำจืดที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำจืดในส่วนของวัตถุดิบหรือกระบวนการในการผลิตสินค้ายังมีความซับซ้อนมากในการประเมินผลกระทบได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างเช่นการดึงน้ำมาใช้แล้วน้ำมวลเดิมอาจกลับไปยังระบบหรือแหล่งเก็บน้ำเดิมหรืออาจถูกการปนเปื้อนก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ ในการปล่อยมลพิษหรือการปนเปื้อนนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำได้โดยตรงจะเป็นผลต่อผู้เกี่ยวข้องที่ต้องรับผิดชอบในการเพิ่มงบประมาณในการบำบัดน้ำให้สะอาดก่อนที่จะทิ้งน้ำในกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ดังนั้นการดึงน้ำมาใช้อาจมีผลด้านลบต่อผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเมื่อน้ำถูกทิ้งในพื้นที่รับน้ำที่ต่างจากเดิม

ในทศวรรษที่ผ่านมา Hoekstra ผู้ร่วมก่อตั้งของเครือข่ายของวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ (water footprint network) จึงได้มีการพัฒนาแนวคิดของการใช้น้ำ กรอบการคำนวณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้แหล่งน้ำจืดในการผลิตสินค้าหรือเพื่อการดำเนินงานขององค์กร โดยวัดผลกระทบของการแย่งชิงทรัพยากรน้ำจืดในระดับโลก ซึ่งสามารถวัดได้เช่นการแลกเปลี่ยนน้ำเสมือนในแง่ของการค้าในผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้น้ำมาก แม้ว่าแนวคิดของเครือข่ายวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ คือน้ำที่เหมาะสำหรับการจัดการภาพการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำทั่วโลก แต่ยังคงมีความกังวลคือการหาที่วิธีดีที่สุดในการวัดหรือประเมินแนวโน้มการใช้น้ำที่จะส่งผลกระทบต่อท้องถิ่นและภูมิภาคนอกเหนือจากการดึงน้ำมาใช้แบบไม่ยั่งยืนที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาสมาชิกในปัจจุบันของ ISO เห็นความจำเป็นในการพัฒนามาตรฐานภายในการประเมินวัฏจักรชีวิต มาตรฐานกลุ่ม (ISO 14040series) ที่จะประเมินผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคน้ำและมลพิษในลุ่มน้ำทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยมีคณะกรรมการมาตรฐาน ISO ที่ได้รับมอบหมายให้พัฒนามาตรฐานนี้อยู่ในขั้นเริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายน        ปี ค.ศ.2011 การประชุมในเมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ จะก้าวไปสู่มาตรฐานในเฟสแรก โดยกำหนดระยะเวลาสามปีนับจากนี้ การพิจารณาเกี่ยวกับกรอบมาตรฐานในบริบท LCA รวมทั้งการออกแบบชนิดผลกระทบที่ควรได้รับการประเมินและความพร้อมของเกณฑ์คุณภาพน้ำและการกำกับดูแล ความเสี่ยงจึงตกไปยังธุรกิจที่ต้องมีการแก้ไขปัญหาการใช้ทรัพยากรน้ำ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่อุปทานทั้งในแง่ของความพร้อมและคุณภาพของน้ำที่จำเป็นสำหรับการผลิตสินค้า การจัดการและการลดการใช้ทรัพยากรผ่านมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงโดยการลดวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งช่วยให้เกิดเงินออมผ่านค่าใช้จ่ายน้ำที่ลดลง ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการสูบน้ำและค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำที่ลดลง (Laurel Standley,2011) และต่อมาแนวคิดนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ได้มีการจัดพิมพ์คู่มือการประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์อย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ “Global Water Footprint Standard” ในปี ค.ศ.2011

 

สำหรับวิธีการในการคำนวณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน โดยในการคำนวณในแต่ละประเภทนั้นยังแบ่งชนิดของวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตามแหล่งที่มา ประกอบด้วยน้ำ 3 ส่วนคือ น้ำสีฟ้า (blue water footprint) น้ำสีเขียว (green water footprint) และน้ำสีเทา (gray water footprint) แสดงดังรูปที่ 2.4

 

 

วอเตอร์ฟุตพริ้นท์จากกระบวนการเพาะปลูก Hoekstra และคณะ (2011) ได้แสดงวิธีการหาค่า  วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ทั้งหมดที่เกิดจากการเพาะปลูกพืชหรือต้นไม้ (Total water footprint of process of growing crop or tree, WFproc,crop) เกิดจากการรวมค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ 3 ส่วน คือ น้ำสีฟ้า น้ำสีเขียว และน้ำสีเทา ดังสมการที่ 2.1 โดยที่น้ำทั้งสามส่วนหาได้ดังสมการที่ 2.2 – 2.4

 

ทั้งนี้ การคำนวณหาปริมาณน้ำสีเขียวและสีฟ้าจากกระบวนการเพาะปลูกพืชนิยมใช้โปรแกรม CROPWAT (ผริดา คุณีพงษ์ และคณะ, 2541) ซึ่งเป็นซอฟแวร์ที่พัฒนาโดย FAO เมื่อปี พ.ศ.2531 เพื่อคำนวณหาความต้องการน้ำของพืช (crop water requirement) บนชุดดินต่างๆ ปริมาณน้ำที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ (moisture availability) และปริมาณน้ำที่ต้องการเพิ่มเติม (Irrigation requirement) เพื่อให้ดินอยู่ในสภาพความชื้นที่พืชต้องการ และการจัดชั้นความเหมาะสมของดินโดยอาศัยความชื้นเพียงอย่างเดียวโดยการคำนวณจากภูมิอากาศ พืช และดิน CROPWAT จะคำนวณการคายระเหยจริง (ETa: actual evapotranspiration) ศักยภาพในการคายระเหย (ETm : potential Evapotranspiration) ปริมาณน้ำฝนที่นำไปใช้ได้จริง (effective rainfall) และค่าความต้องการน้ำของพืช (crop water requirement) ตลอดจนเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่จะลดลงถ้าขาดน้ำและแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ CROPWAT เป็นแบบจำลองที่ต้องใช้ ข้อมูล (data input) ดังนี้

1)      ข้อมูลภูมิอากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้น แสงอาทิตย์ ความเร็วลม และปริมาณน้ำฝน

2)      ข้อมูลพืช ได้แก่ ช่วงอายุของการเจริญเติบโต (crop development stage) แฟกเตอร์ของพืช (crop factors : Kc) ความยาวของรากพืช (rooting depth) และการตอบสนองต่อการขาดน้ำของพืช (yield response factors)

3)      ข้อมูลดิน ได้แก่ ปริมาณน้ำในดิน ดินแต่ละชนิดมีปริมาณน้ำในดินที่พืชนำไปใช้ได้ (available water) ต่างกัน

นอกจากนี้ ในการคำนวณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของการเพาะปลูกพบว่าการหาน้ำสีเขียวจากปริมาณการใช้น้ำของพืชโดยใช้วิธีวัดสมดุลน้ำในเขตรากพืช ซึ่งการใช้น้ำของพืชมีปัจจัยแวดล้อมหลายประการ โดยน้ำในเขตรากพืชอาจลดลงเนื่องจากการคายระเหย ถ้าน้ำพร่องลงต่ำกว่าระดับน้ำที่มีอยู่ที่ใช้การได้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ความเครียดน้ำได้ (ทิพปภา สุขุมาลชาติ และคณะ, 2554) อีกทั้งน้ำสีเขียวใช้ค่าปริมาณการใช้น้ำของพืชอ้างอิงในการคำนวณ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศของจังหวัดหรือพื้นที่ศึกษา เช่น ถ้าโรงงานที่รับวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากบริเวณที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยค่อนข้างสูง ค่าน้ำสีเขียวก็จะมีค่าสูง ส่วนน้ำสีเทานั้นขึ้นอยู่กับสัดส่วนการรับวัตถุดิบจากแต่ละที่เข้าสู่กระบวนการผลิต (รมณี วังเมือง, 2555) โดยการรวมค่าร่องรอยการใช้น้ำของวัตถุดิบทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ขาเข้าเป็นปัจจัยสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตโดย Ercin และคณะ (2010) แสดงให้เห็นว่าวัตถุดิบที่มาจากภาคเกษตรกรรมที่มีสัดส่วนเป็นสารขาเข้าในกระบวนการผลิตเพียงเล็กน้อยนั้นอาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์สุดท้ายมากที่สุดเนื่องจากเป็นค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ส่วนใหญ่ที่สุดที่รวมอยู่ในวอเตอร์ฟุตพริ้นท์โดยรวมของผลิตภัณฑ์

สำหรับวิธีการประเมินวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ 2 วิธี คือ วิธีแบบรวมสายโซ่และวิธีการแบบขั้นตอนสะสม (Hoekstra และคณะ, 2011) มีรายละเอียด ดังนี้

 

วิธีที่ 1 การคำนวณค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์วิธีการรวมสายโซ่ (chain-summation approach) วิธีการ chain-summation approach (รูปที่ 2.5) เป็นการรวมปริมาณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ตลอดทั้งระบบการผลิตออกมาเพียงผลิตภัณฑ์เดียว สามารถคำนวณได้จากสมการที่ 2.5 

 

วิธีที่ 2 การคำนวณค่าวอเตอร์ฟุตพริ้นท์แบบขั้นตอนสะสม (step-wise accumulative approach) วิธีการ step-wise accumulative approach (รูปที่ 2.6) เป็นการคำนวณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์แบบแยกกระบวนการของกระบวนการผลิต โดยการคำนวณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์จะรวมค่าร่องรอยการใช้น้ำของวัตถุดิบ ทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ขาเข้าที่เป็นปัจจัยสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์นั้นๆ สามารถคำนวณได้จากสมการที่ 2.6 -2.8

 

 

รูปแบบอย่างง่ายของวิธีการคำนวณวอเตอร์ฟุตพริ้นท์แบบขั้นตอนสะสมของผลิตภัณฑ์เมื่อการนำผลิตภัณฑ์หนึ่งผลิตภัณฑ์เข้าสู่กระบวนการผลิตและได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเพียงผลิตภัณฑ์เดียวสามารถเขียนได้ดังสมการที่ 2.9

 

การศึกษาวอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์อาจไม่ได้นับรวมน้ำสีเทา ตัวอย่างเช่นการศึกษา        วอเตอร์ฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์กระดาษที่ได้ประสบความสำเร็จในการผลิตกระดาษโดยปราศจากการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม เมื่อน้ำทิ้งมีคุณภาพน้ำเท่ากับหรือดีกว่าค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเทคโนโลยีสะอาดในกระบวนการผลิต หรืออาจมาจากการขาดข้อมูลในระดับโลกจาก 2 ส่วนคือค่าคุณภาพน้ำทิ้งและปริมาณของน้ำที่ได้รับผลกระทบที่ไม่สามารถวัดได้ จึงทำให้ไม่มีข้อมูลของน้ำสีเทา (Van Oel, P.R. และ Hoekstra, A.Y., 2010)

WF Knowledge

www.industry.go.th กระทรวงอุตสาหกรรม
www.oie.go.th สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
http://fic.nfi.or.th ศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะสถาบันอาหาร
http://www.nfi.or.th/carbonfootprint/ โครงการ Carbon Footprint
http://www.greenindustry.go.th/
NFI-QR-CODE